5 งานเด่นสำหรับกูรูด้าน Social Media

: 209
5 งานเด่นสำหรับกูรูด้าน Social Media
โซเซียล มิเดีย

5 งานเด่นสำหรับกูรูด้าน Social Media

5 งานเด่นสำหรับกูรูด้าน Social Media สื่อออนไลน์ (Online Media) มีบทบาทกับสังคมปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้อมูลข่าวสารบนสื่อออนไลน์ซึ่งมีอยู่มากมายนี้ มีทั้งข้อมูลจริง ข่าวลือ และ ข่าวลวง เนื่องจากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถทำหน้าที่ได้ทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสาร โดยมีสื่อใหม่

  1. งานการตลาด

แม้สินค้าหรือบริการของบริษัทจะมีคุณภาพมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีการทำการตลาดออกไปให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย ก็คงยากที่สินค้าจะเป็นที่รู้จักและขายได้ดี โดยเฉพาะในยุคที่สื่อออนไลน์ และโซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลอย่างทุกวันนี้ การทำการตลาดแบบออฟไลน์อย่างเดียวคงไม่พอ คนทำงานในสายการตลาดไม่ว่าจะเป็นนักโฆษณา ครีเอทีฟ นักพัฒนาธุรกิจ หรือ นักสื่อสารการตลาด ก็ต้องปรับตัวและสามารถนำโซเชียลมีเดียมาใช้ในการทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพได้

โดยทักษะที่คนทำงานสายนี้ควรมีเพื่อทำการตลาดทางโซเชียลมีเดียให้มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการคิด วิเคราะห์ และเก็บรวบรวมข้อมูล เพราะโซเชียลมีเดียมีเครื่องมือที่สามารถแสดงประสิทธิภาพของโพสต์ต่างๆ ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่าเนื้อหาประเภทไหน โพสต์ในช่วงเวลาใด มีผลตอบรับที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร จากนั้นก็นำข้อมูลมาคิด วิเคราะห์ เพื่อวางแผนกลยุทธ์ในการทำการตลาด หรือสร้างเนื้อหา และแคมเปญต่าง ๆ ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ทั้งข้อมูลที่เป็นตัวเลข และการสังเกตพฤติกรรมของลูกค้าที่อยู่บนโซเชียลมีเดียของแบรนด์

  1. งานคอมพิวเตอร์ / ไอที / โปรแกรมเมอร์

ถึงแม้ว่าคนทำงานในสายนี้จะเป็นผู้ที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง แต่ก็ต้องให้ความสนใจกับโซเชียลมีเดียด้วยเช่นกัน เพราะในยุคนี้เครื่องมือของโซเชียลมีเดียต่างๆ มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ฝั่งแบรนด์เองก็ควรมีการอัปเดตเพื่อให้สอดคล้องกับสินค้าและบริการตลอดจนความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น ดังนั้นจึงต้องอาศัยความสามารถด้านเทคนิคจากผู้ที่ทำงานในสายคอมพิวเตอร์ / ไอที / โปรแกรมเมอร์ ในการประยุกต์เอาเครื่องมือเหล่านั้นมาใช้

โดยคนทำงานสายนี้จะต้องอัปเดตเทรนด์และศึกษาเกี่ยวกับระบบหรือการทำงานใหม่ๆ ของโซเชียลมีเดียอยู่เสมอ เพื่อนำมาปรับใช้และพัฒนาให้เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันสามารถทำงานร่วมกับโซเชียลมีเดียต่างๆ ได้อย่างดีที่สุด มีความเข้าใจในอัลกอริทึ่มหรือเครื่องมือใหม่ๆ ของโซเชียลมีเดีย เพื่อนำมาต่อยอดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ให้เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานจำนวนมากในโซเชียลมีเดียได้

  1. งานบริการลูกค้า

เมื่อลูกค้าต้องการสอบถามข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ทั้งก่อนตัดสินใจซื้อและหลังซื้อสินค้าไปแล้ว คนกลุ่มแรกๆ ที่ต้องพูดคุยกับลูกค้าก็คืองานบริการลูกค้า ซึ่งต้องคอยดูแล ให้คำแนะนำ รวมถึงประสานงานหาทางแก้ไข เพื่อให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกประทับใจตั้งแต่ก่อนซื้อ ระหว่างซื้อ จนไปถึงขั้นตอนบริการหลังการขาย แต่นอกจากการสอบถามทางคอลเซ็นเตอร์แล้ว โซเชียลมีเดียของแบรนด์ก็เป็นอีกช่องทางที่เป็นที่นิยม

เพราะฉะนั้นนอกจากจะเป็นคนที่มีความรู้เกี่ยวกับสินค้าเป็นอย่างดี และมีใจรักการบริการแล้ว คนทำงานสายนี้ควรมีความสามารถในการใช้โซเชียลมีเดียได้เป็นอย่างดีเพื่อให้บริการลูกค้าได้หลากหลายขึ้น และที่สำคัญก็คือมีทักษะการสื่อสารที่ดี ซึ่งการสื่อสารกับลูกค้าทางโซเชียลมีเดียนอกจากจะต้องตอบคำถามในสิ่งที่ลูกค้าสงสัย หรือหาวิธีแก้ปัญหาให้พวกเขาแล้ว การรับฟังและสังเกตฟีดแบ็กจากสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อนำข้อมูลไปปรับปรุงการให้บริการหรือพัฒนาสินค้าให้ดีขึ้นอีกด้วย

  1. งานเขียน

ทุกวันนี้คนเราใช้ชีวิตกับสื่อออนไลน์มากขึ้น งานของคนที่รักการเขียนก็เลยไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนสื่อสิ่งพิมพ์เท่านั้น แต่ยังอยู่บนพื้นที่ออนไลน์อย่างเว็บไซต์ บล็อก หรือโซเชียลมีเดียด้วย ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่ที่จะสื่อสารกับคนทั่วไปได้ง่ายและมีจำนวนมากขึ้น

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “สื่อสังคมโซเชียลมีเดีย” ถือว่ามีอิทธิพลมากในชีวิตของคนรุ่นใหม่ในสังคมไทย ทั้งใช้เพื่อศึกษาข้อมูล ติดตามความเคลื่อนไหวในสังคม แต่ในโลกของสื่อชนิดนี้ก็มีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี ซึ่งบางครั้งถูกนำเสนอออกไปโดยไม่ผ่านการคัดกรอง ดังที่เห็นว่าเมื่อมีเหตุอะไรสื่อชนิดนี้จะแพร่ออกไปได้อย่างรวดเร็ว และอาจนำไปสู่พฤติกรรมเลียนแบบตามมาอย่างที่เห็นในหน้าข่าว

จึงทำให้น่ากังวลว่าสังคมวัยรุ่นไทยปัจจุบันเมื่อใช้สื่อชนิดนี้แล้วจะสามารถแยกแยะได้หรือไม่ นับเป็นเรื่องน่าห่วงและสังคมควรให้ความสนใจหาทางป้องกัน มิฉะนั้นอาจเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยในอนาคต

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (electronic book, e-book) ที่เกิดขึ้นในยุคดิจิทัล 4.0 พร้อมเครื่องอ่าน e-book (e-book reader) เช่น Kindle, Kepler ฯลฯ กับการมี “แอป” ในการอ่าน e-book รูปแบบใหม่ๆ ที่สามารถดาวน์โหลดได้สบายๆ จาก smart phone สำหรับใช้เป็นสื่อกลางส่งผ่านการเล่าเรื่องจากผู้เขียนไปสู่ผู้อ่าน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการอ่านครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างแอป เช่น จอยลดา, ธัญวลัย, Fictionlog, ReadAWrite และ Ookbee ซึ่งขยายตลาดไปในประเทศกลุ่มอาเซียน โดยมีสำนักงานในหลายประเทศ เช่น เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ตัวอย่างร้าน e-book ที่เปิดเว็บไซต์เป็นหน้าร้านขาย e-book ได้แก่ Meb, Naiin, The MATTER (เว็บไซต์ข่าวที่เสนอเป็นข่าวสั้นๆ ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย)
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการอ่านครั้งใหญ่นี้มาจากพฤติกรรมการอ่านของผู้คนในยุค 4.0 โดยเฉพาะผู้อ่าน 3 กลุ่ม ซึ่งชื่นชอบการใช้อินเทอร์เน็ต 6-7 ชั่วโมงต่อวัน นิยมอ่าน รับรู้ หรือเสพ (ติด) เรื่องราวต่างๆ ทางออนไลน์ผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็คือผู้อ่านกลุ่ม Gen X, Gen Y, Gen Z นั่นเอง

ผู้อ่านทั้ง Gen X, Gen Y, Gen Z มักไม่อดทนที่จะอ่านหนังสือที่หนามากๆ เป็นเวลานานๆ ไม่ชอบอ่านอะไรที่ยาวๆ เป็น การอ่านแบบที่เรียกว่า “hyper reading” คือ อ่านแบบสมาธิสั้น หรือ อ่านแบบเร็วๆ เพราะพวกเขาคุ้นชินกับการใช้โปรแกรม สื่อออนไลน์ และเล่มเกมคอมพิวเตอร์ จึงชอบความสนุก เห็นผลรวดเร็ว เพียงแค่กดปุ่มด้วยปลายนิ้วเท่านั้น จึงได้มีการพัฒนา e-book ให้อ่านได้สนุกยิ่งขึ้น โดยลงเนื้อหาเป็นตอนสั้นๆ ติดต่อกันทุกวันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ ผู้อ่านกลุ่มนี้ได้ติดตามอ่านได้ตลอดต่อเนื่อง ถ้าเนื้อเรื่องขาดหายไปหรือลงไม่ต่อเนื่อง ผู้อ่านก็จะไม่สนใจติดตามอ่านอีกต่อไป ข้อควรระวังสำหรับการที่อ่านเร็วไป คือ ผู้อ่านเก็บข้อมูลได้น้อย ไม่สามารถวิเคราะห์เนื้อหาที่แท้จริงได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ อาจจะทำให้เกิดการเข้าใจคลาดเคลื่อน ตีความหมายผิดไป นำไปสร้างกระแสต่างๆ ที่เป็นทางลบในโลกโซเชียลได้
ตัวอย่างพฤติกรรมการอ่านแบบ “hyper reading” ที่ชัดเจนมากๆ คือ การอ่าน “นิยายแชต” ที่เป็นนิยาย e-book รูปแบบใหม่ผ่านแอป “นิยายแชต” มีสไตล์การเขียนและการเล่าเรื่องผ่านการแชตที่เป็นบทสนทนาของตัวละคร โดยไม่มีบทบรรยายเหมือนนิยายทั่วไป ทำให้ผู้อ่านโดยเฉพาะวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว รู้สึกมีส่วนร่วม เหมือนกำลังอ่านไปแชตไป ชอบเพราะอ่านได้เร็ว ทั้งยังใช้งานง่าย คือ ถ้าจะอ่านแบบ “แชตออโต้” บทสนทนาที่แชตอยู่บนหน้าจอจะเลื่อนไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องสไลด์หน้าจอให้เมื่อยนิ้ว แต่ถ้าอ่านไม่ทัน สามารถแตะที่หน้าจอเพื่อหยุดได้ ทั้งยังสามารถปรับความเร็วในการอ่านนิยายแชตแบบช้า ปกติ และเร็วได้ตามต้องการ

แน่นอนว่าทักษะของคนที่จะทำงานเขียนจึงไม่ใช่แค่ใช้ภาษาที่ถูกต้องเท่านั้น แต่การสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย ต้องใช้ภาษาที่ดึงดูดให้คนสนใจ และกระตุ้นให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมกับโพสต์นั้น ๆ ในขณะเดียวกันก็ต้องสื่อสารได้ชัดเจน ตรงประเด็น ที่สำคัญก็คือภาษาที่ใช้ต้องเป็นไปตามลักษณะของแบรนด์ที่นำเสนอ หรือตามคาแรคเตอร์ของแบรนด์ ตลอดจนต้องออกแบบให้เหมาะสมกับโซเชียลมีเดียแต่ละแพลตฟอร์มที่มีรูปแบบการนำเสนอที่แตกต่างกันไปด้วย

  1. Multimedia Designer

การนำเสนอเนื้อหาผ่านภาพและวิดีโอหรือที่เรียกรวม ๆ ว่า “มัลติมีเดีย (Multimedia)” คือสิ่งที่แบรนด์ต่าง ๆ นิยมใช้ทั้งสื่อออฟไลน์ และโซเชียลมีเดีย เพราะนอกจากจะช่วยดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นแล้ว ยังบอกเล่าเรื่องราวที่ต้องการสื่อออกไปได้อย่างชัดเจน และเข้าใจง่ายมากขึ้นอีกด้วย ซึ่ง Multimedia Designer คือคนที่ทำหน้าที่ออกแบบ สร้างสรรค์ และลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือวิดีโอที่ใช้บนโซเชียลมีเดียนั่นเอง

คนทำงานในสายนี้นอกจากจะมีทักษะในการออกแบบได้สวยงาม น่าสนใจ และสื่อความหมายได้ตามที่ต้องการแล้ว ยังต้องมีความรู้เกี่ยวกับรูปแบบการนำเสนอมัลติมีเดียให้เหมาะสมกับโซเชียลมีเดียแต่ละแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น ความยาวของวิดีโอ ขนาดของภาพ ประเภทไฟล์ที่รองรับ เป็นต้น


 

Spread the love
AKG N700 NCM2 Wireless หูฟังไร้สาย Over-Ear
โซเซียล มิเดีย
AKG N700 NCM2 Wireless หูฟังไร้สาย Over-Ear

AKG N700 NCM2 Wireless หูฟังไร้สาย Over-Ear AKG N700 NCM2 Wireless หูฟังไร้สาย Over-Ear เมื่อช่วงกลางปี Samsung ได้เปิดตัวหูฟังไร้สายในตระกูล AKG ทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ N700 NC M2 Wireless, N200A Wireless และ Y500 Wireless ด้วยความที่ AKG เป็นแบรนด์ที่ขึ้นชื่อในวงการเครื่องเสียงอยู่แล้ว ทำให้หูฟังรุ่นใหม่นี้ถูกคาดหวังเอาไว้มากพอสมควร ซึ่งก่อนหน้านี้เราได้รีวิวหูฟัง AKG Y500 Wireless กันไปแล้ว และก็ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด สำหรับครั้งนี้เรามาดูรีวิวหูฟังรุ่นท็อปอย่าง AKG N700 NCM2 Wireless กันบ้างดีกว่าครับ AKG N700 NCM2 Wireless เป็นหูฟังไร้สายไฮเอนด์แบบ …

Spread the love
การใช้ Social Media หลังการเลือกตั้ง
โซเซียล มิเดีย
การใช้ Social Media หลังการเลือกตั้ง

การใช้ Social Media หลังการเลือกตั้ง การใช้ Social Media หลังการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา ได้มีนักการเมืองในซีกรัฐบาลหันมาให้ความสำคัญกับการใช้ช่องทาง Social Media ในการสื่อสารกับประชาชนมากขึ้น โดยเฉพาะใน Facebook และ Twitter เริ่มจาก “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่สร้างเพจใน Facebook มาตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2561 ปัจจุบันมีผู้กดถูกใจเพจของแกแล้วกว่า 7.5 แสนบัญชี เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการรายงานภารกิจของนายกรัฐมนตรีและความเห็นของนายกฯ ต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ล่าสุด มีการประณามผู้ก่อเหตุความรุนแรงในจังหวัดยะลา เป็นต้น และเกือบทั้งหมดเป็นการสื่อสารทางเดียว ไม่มีการตอบคำถามหรือแสดงความคิดเห็นต่อความคิดเห็นที่ประชาชนสะท้อนมาในเพจนี้ ไม่ว่าความเห็นนั้น จะเป็นการชื่นชมหรือด่าทอด้วยภาษาที่หยาบคายใดๆ ก็ตาม ขณะที่เพจของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่สร้างมาเมื่อ 20 มีนาคม 2561 ปัจจุบันมีคนกดถูกใจเพจนี้กว่า 1.056 ล้านบัญชี กิจกรรมในเพจนี้ …

Spread the love
“โซเชียลมีเดีย” นำธุรกิจไปสู่ความรุ่งเรืองในปัจจุบัน
โซเซียล มิเดีย
“โซเชียลมีเดีย” นำธุรกิจไปสู่ความรุ่งเรืองในปัจจุบัน

“โซเชียลมีเดีย” นำธุรกิจไปสู่ความรุ่งเรืองในปัจจุบัน “โซเชียลมีเดีย” นำธุรกิจไปสู่ความรุ่งเรืองในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเล็กหรือใหญ่ต่างหันมาใช้โซเชียลมีเดีย (Social Media) หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) ในการทำการตลาดเกือบทั้งหมด เพราะตระหนักดีว่าเป็นช่องทางหนึ่งในการโฆษณาสินค้าและขายสินค้าได้เป็นอย่างดี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรือมีก็ไม่มากหากเทียบกับการทำตลาดในรูปแบบอื่น ๆ ที่สำคัญมีประสิทธิภาพเยี่ยม และเห็นผลในระยะเวลาอันรวดเร็ว เรียกว่ายุคนี้ผู้ประกอบการรายใดไม่ใช้โซเชียลมีเดียเท่ากับว่าตกเทรนด์ไปแล้ว สำหรับในยุคนี้ เราคงจะหลีกเลี่ยงหรือหนีคำว่า Social Media ไปไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็จะพบเห็นมันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหลายๆ คนก็อาจจะยังสงสัยว่า “Social Media” มันคืออะไรกันแน่ วันนี้เราจะมารู้จักความหมายของมันกันครับ คำว่า “Social” หมายถึง สังคม ซึ่งในที่นี้จะหมายถึงสังคมออนไลน์ ซึ่งมีขนาดใหม่มากในปัจจุบัน คำว่า “Media” หมายถึง สื่อ ซึ่งก็คือ เนื้อหา เรื่องราว บทความ วีดีโอ เพลง รูปภาพ เป็นต้น ดังนั้นคำว่า Social Media จึงหมายถึง สื่อสังคมออนไลน์ที่มีการตอบสนองทางสังคมได้หลายทิศทาง โดยผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต พูดง่ายๆ ก็คือเว็บไซต์ที่บุคคลบนโลกนี้สามารถมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันได้นั่นเอง          พื้นฐานการเกิด Social Media ก็มาจากความต้องการของมนุษย์หรือคนเราที่ต้องการติดต่อสื่อสารหรือมีปฏิสัมพันธ์กัน จากเดิมเรามีเว็บในยุค 1.0 ซึ่งก็คือเว็บที่แสดงเนื้อหาอย่างเดียว บุคคลแต่ละคนไม่สามารถติดต่อหรือโต้ตอบกันได้ แต่เมื่อเทคโนโลยีเว็บพัฒนาเข้าสู่ยุค 2.0 ก็มีการพัฒนาเว็บไซต์ที่เรียกว่า web …

Spread the love